เคล็ดไม่ลับ ขับรถหน้าฝนให้ปลอดภัย
วันนี้โตโยต้ากาญจนบุรีมี เคล็ดไม่ลับ ขับรถหน้าฝน มาฝากทุกท่านกันนะคะ
“เพราะเราห่วงใยในทุกความปลอดภัยในการขับขี่ของท่าน ”
โดย คุณวิชา สุจริต ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบริการและหัวหน้าช่างฝ่ายเทคนิค
กับประสบการณ์ในด้านงานช่างกว่า 23 ปีจะมาบอกเคล็ดไม่ลับให้เราได้รู้กัน..
การดูแลรักษารถยนต์ ในหน้าฝนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยมากที่สุด ในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุ เพราะถนนมีความลื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์และตัวของผู้ขับขี่เอง วันนี้โตโยต้ากาญจนบุรี มีเทคนิคดีๆ ในการเตรียมรถให้พร้อมช่วงหน้าฝนมาฝากค่ะ…
วิธีเตรียมรถให้พร้อมก่อนเดินทางในหน้าฝน
1. ตรวจสอบระบบไฟและสัญญาณไฟ
เราควรตรวจสอบระบบไฟต่างๆ เช่น ไฟท้ายรถ ไฟหน้า ไฟเบรก ไฟเลี้ยว เพราะบางครั้งไฟหน้าหรือไฟท้ายอาจจะมีความสว่างไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดการทำงานไม่ปกติ อาจทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเบรกและไฟเลี้ยว ซึ่งอาจทำให้รถที่ขับตามมาไม่เห็นสัญญาณไฟของรถเรา
2.ยางปัดน้ำฝน
เราควรตรวจสอบยางปัดน้ำฝน ว่าอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่ ยางปัดน้ำฝนที่ดี จะไม่มีเสียงจากการเสียดสี และสามารถปัดน้ำฝนได้สะอาดมีทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่
3.คราบสกปรกบนกระจก
เราควรทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติดอยู่บนกระจกของรถเรา เช่น คราบแมลง ฝุ่น ใบไม้ต่างๆ เพื่อทำให้เวลาปัดน้ำฝนจะทำให้กระจกไม่ฝืด และไม่เกิดการเสียดสี
4.ตรวจสอบสภาพยาง
ควรตรวจสอบภาพยางและดอกยางว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ยางไม่มีการบวม หรือรอยแตก เพราะยางเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งถ้าดอกยางเราสึกหรือหมดสภาพ อาจจะทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะถนนลื่นทำให้เราไม่สามารถควบคุมรถได้ (ลมยางที่เหมาะสม สำหรับรถเก๋งขนาดเล็ก 25-35 ปอนด์ รถกะบะ 35-40 ปอนด์) และควรเปลี่ยนยางทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กม.
5.ตรวจสอบระบบเบรก
ระบบเบรกเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม สำหรับการขับรถในหน้าฝน เราควรเช็คน้ำมันเบรกและผ้าเบรก ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ตรวจสอบการทำงานของเบรกว่าทำงานได้ ปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติ เช่น เบรกลึก เบรกแล้วมีเสียงดัง เบรกแล้วดึงซ้ายหรือขวา ควรนำรถเข้าตรวจสภาพทันที
6. อุปกรณ์ช่วยเหลือ
เราควรเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นเช่น ป้ายสะท้อนแสง หรือสัญญาณไฟ ที่แสดงให้รถคันอื่นสังเกตุเห็นได้ง่าย ว่ารถเรากำลังจอดอยู่ และอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น ถ้าเราต้องออกไปนอกรถ เช่น ร่ม หมวก หรือเสื้อกันฝน ไฟฉายและรองเท้าแตะหรือรองเท้าบู๊ท
การขับรถขณะฝนตก
1. เปิดไฟหน้า-ไฟท้าย
ผู้ขับขี่ควรเปิดไฟหน้า และไฟท้าย เพราะในช่วงที่ฝนตกหนักทำให้บรรยากาศมืดครึ้ม คล้ายตอนหัวค่ำ การเปิดไฟหน้าและไฟท้าย ช่วยในการมองเห็นเส้นทาง และยังช่วยให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นเห็นรถเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (ถ้ากรณีฝนตกหนัก ทัศนวิสัยสามารถมองเห็นไม่เกิน 10 เมตร ควรจอดรถในที่ปลอดภัยก่อน แล้วเมื่อฝนเบาลงค่อยเดินทางต่อ)
2. ลดความเร็ว
ผู้ขับขี่ควรลดความเร็ว เนื่องจากในช่วงแรกที่ฝนตก จะมีโอกาสลื่นไถลได้ง่าย เพราะฝนจะชะล้างคราบดินและฝุ่นมีลักษณะคล้ายกับโคลน ฉะนั้น เราควรลดความเร็วลงเพื่อเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุ ระดับความเร็วที่เหมาะสม คือ 60 กม./ชม และ ไม่ขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป เราควรทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ประมาณ 10-15 เมตร เพราะช่วงฝนตกสภาพถนนที่ลื่น ทำให้ต้องใช้ระยะในการหยุดรถมากกว่าปกติ
3.หลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนัก
เพราะอาจจะทำให้ผู้ขับขี่รถคันข้างหลังเข้าใจว่ารถเรากำลังจอดอยู่ และรถคันข้างหน้าหรือข้างหลัง ไม่สามารถรู้ได้ว่ารถกำลังจะเปลี่ยนเลน
การขับรถลุยน้ำ หรือแหล่งที่มีน้ำท่วมขัง
1. ประเมินสถานการณ์
เราควรประเมินสถานการณ์ว่าช่องทางไหนมีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด (เราไม่ควรเปลี่ยนช่องทางไปมา)
2. เราควรใช้เกียร์ต่ำ
เพื่อให้รถเกาะถนนมากยิ่งขึ้นในขณะลุยน้ำ พยายามเร่งเครื่องให้รอบสูงกว่าปกติ และควรรักษาความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ควรจอดแช่ในพื้นที่มีน้ำขัง เพื่อป้องกันน้ำเข้าเครื่องยนต์
3. ไม่ควรเหยียบเบรกกระทันหันเมื่อเจอน้ำท่วมขัง
เพราะอาจทำให้รถเสียการทรงตัว หรือพลิกคว่ำได้ ให้แก้สถานการณ์โดยการถอนคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่น และจึงค่อยๆเหยียบเบรก (แตะปล่อย แตะปล่อย) เพื่อให้รถหยุด
หลังจากลุยฝนเราควรทำอย่างไร ?
1. เมื่อจอดรถแล้ว ผู้ขับขี่ควรเหยียบเบรก+เหยียบครัช สลับไปมาหลายๆครั้ง เพื่อเป็นการไล่น้ำออกจากผ้าเบรก
2. ใส่เกียร์ว่าง เร่งเครื่องยนต์ ให้รอบสูงกว่าปกติ เพื่อไล่ความชื้นออกจากครื่องยนต์
3. ปิดความเย็นของระบบปรับอากาศ ให้มีแค่พัดลมเป่าออกมาเพื่อไล่ความชื้น (ไม่จำเป็นต้องทำหลังขับรถในหน้าฝน ทำได้ทุกสถานการณ์ หรือทุกครั้งหลังขับรถ เพื่อเป็นการรักษาและยืดอายุการใช้การ แอร์รถของท่านด้วย)
4. ควรจอดรถให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์และผ้าเบรกเย็นลงก่อน จึงค่อยล้างรถ และไม่ควรเช็ดรถในทันทีหลังรถลุยฝนมา เพราะอาจมีคราบฝุ่นติดรถมา เมื่อเช็ดแล้วอาจทำให้รถเป็นรอยได้
5. ตรวจสอบเครื่องยนต์ โดยการดับเครื่องและสตาร์ทใหม่ 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการไล่น้ำและความชื้น ออกจากไดร์สตาร์ท
จากเคล็ดลับที่โตโยต้ากาญจนบุรีแนะนำมา หวังว่าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่รถหน้าฝนให้กับทุกๆ คนนะคะ
คุณสามารถติดตามข่าวสารดีๆเกี่ยวกับรถได้แบบฟรีๆ ที่
Line@ Click > > @toyotakan1995
หากบทความนี้ดีมีประโยชน์ อย่าลืมกดปุ่มแชร์ด้านล่างให้เพื่อนๆของคุณกันนะคะ !